สุภาษิต บทที่ 1:1-33

Study >>>>Proverb 1: 1-33  (สุภาษิต 1: 1-33)

fear of the Lord

1 สุภาษิตของซาโลมอน โอรสของดาวิด กษัตริย์แห่งอิสราเอล

2 เพื่อให้บรรลุปัญญาและคำสั่งสอน เพื่อให้เข้าใจถ้อยคำแห่งความเข้าใจ

3 เพื่อให้รับคำสั่งสอนในเรื่องสติปัญญา ในเรื่องความเที่ยงธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงตรง

4 เพื่อให้ความหยั่งรู้แก่คนเขลา ให้ความรู้และความเฉลียวฉลาดแก่คนหนุ่ม

5 ทั้งปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้ และคนที่มีความเข้าใจจะได้คำปรึกษาที่ฉลาด

6 เพื่อให้เข้าใจสุภาษิตและปริศนา ทั้งถ้อยคำของปราชญ์และปริศนาที่ลึกลับของเขา

7 ความยำเกรงพระเยโฮวาห์เป็นบ่อเกิดของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน

8 บุตรชายของเราเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งกฎเกณฑ์ของแม่เจ้า

9 เพราะทั้งสองนั้นจะเป็นมาลัยงามสวมศีรษะของเจ้า เป็นจี้ห้อยคอของเจ้า

10 บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าคนบาปล่อชวนเจ้า อย่าได้ยอมตาม

11 ถ้าเขาว่า “มากับพวกเราเถิด ให้เราหมอบคอยเอาเลือดคน ให้เราซุ่มดักคนไร้ผิดเล่นเถิด

12 ให้เรากลืนเขาทั้งเป็นอย่างแดนผู้ตาย และกลืนเขาทั้งตัวอย่างคนเหล่านั้นที่ลงไปสู่ปากแดน

13 เราจะพบของประเสริฐทุกอย่าง เราจะบรรจุเรือนของเราให้เต็มด้วยของที่ริบได้

14 จงเข้าส่วนกับพวกเรา เราทุกคนจะมีเงินถุงเดียวกัน”

15 บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าเดินในทางนั้นกับเขา จงยับยั้งเท้าของเจ้าจากวิถีของเขา

16 เพราะว่าเท้าของเขาวิ่งไปหาความชั่วร้าย และเขารีบเร่งไปทำให้โลหิตตก

17 เพราะที่จะขึงข่ายไว้ให้นกเห็น ก็ไร้ผล

18 แต่คนเหล่านี้หมอบคอยโลหิตของตนเอง เขาซุ่มดักชีวิตของเขาเอง

19 ทางของบรรดาผู้ที่หากำไรด้วยความทารุณโหดร้ายก็อย่างนี้แหละ คือมันย่อมคร่าเอาชีวิตของเจ้าของนั้นเอง

20 ปัญญาร้องเสียงดังอยู่ที่ถนน เธอเปล่งเสียงของเธอตามถนน

21 เธอร้องออกมาที่ชุมนุมชนใหญ่สุด ที่ทางเข้าประตูเมือง เธอกล่าวถ้อยคำของเธออยู่ในเมืองว่า

22 “คนเขลาเอ๋ย เจ้าจะรักความเขลาไปนานสักเท่าใด คนมักเยาะเย้ยจะปีติยินดีในการเยาะเย้ยนานเท่าใด และคนโง่จะเกลียดความรู้นานเท่าใด

23 จงหันกลับเพราะคำตักเตือนของเรา ดูเถิด เราจะเทวิญญาณของเราให้เจ้า เราจะให้ถ้อยคำของเราแจ้งแก่เจ้า

24 เพราะเราได้เรียกแล้วและเจ้าปฏิเสธ เราเหยียดมือออกและไม่มีใครสนใจ

25 เจ้ามิได้รับรู้ในบรรดาคำแนะนำของเรา และไม่ยอมรับคำตักเตือนของเราเลย

26 ฝ่ายเราจะหัวเราะเย้ยความหายนะของเจ้า เราจะเยาะเมื่อความหวาดกลัวลานมากระทบเจ้า

27 เมื่อความหวาดกลัวของเจ้ามาถึงอย่างการรกร้างว่างเปล่า และความพินาศของเจ้ามาถึงอย่างลมบ้าหมู เมื่อความซึมเศร้าและความปวดร้าวมาถึงเจ้า

28 แล้วเขาจะทูลเรา แต่เราจะไม่ตอบ เขาจะแสวงหาเราอย่างขยันขันแข็ง แต่จะไม่พบเรา

29 เพราะว่าเขาเกลียดความรู้ และไม่เลือกเอาความยำเกรงพระเยโฮวาห์

30 เขาไม่รับคำแนะนำของเราเลย แต่กลับดูหมิ่นคำตักเตือนของเราทั้งสิ้น

31 เพราะฉะนั้นเขาจะกินผลแห่งทางของเขา และอิ่มด้วยกลวิธีของเขาเอง

32 เพราะการหันกลับของคนโง่จะฆ่าเขา และความเจริญของคนโง่จะทำลายเขา

33 แต่บุคคลผู้ฟังเราจะอยู่อย่างปลอดภัย เขาจะอยู่อย่างสุขสงบปราศจากความคิดพรั่นพรึงในความชั่วร้าย”

*****************

อธิบาย

ปัญญา =การมีทักษะ   ความเข้าใจ = การตัดสินใจดี

ความชอบธรรม = อุปนิสัยที่ถูกต้อง    ความยุติธรรม = การตัดสินใจที่ถูกต้อง

ความเที่ยงธรรม = ความซื่อสัตย์สุจริตทางศีลธรรม 

ความหยั่งรู้ = ความรู้สึกไวในเรื่องราวทางปฏิบัติ

ความเฉลียวฉลาด = ความรอบคอบ

*****************

พระธรรมสุภาษิตมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ 

  1. เพื่อให้มีทักษะทางศีลธรรม  
  2. เพื่อให้หยั่งรู้ทางความคิด 

 

ส่วนทั้งหมดของสุภาษิตนี้คือ สอนความขยัน หมั่นเพียร ความประหยัด ความสุขุม ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ความบริสุทธิ์ ความกรุณา คำเตือนต่อความชั่วร้ายต่างๆที่คล้ายกัน และคำสรรเสริญปัญญาในฐานะที่เป็นหลักนำพาชีวิต

คำว่า “ฉลาด” และ “ปัญญา” ปรากฎในสุภาษิต 125 ครั้ง และคำว่า “ปัญญา” นี้เองที่ อัครฑูตเปาโลได้สั่งให้คริสเตียนดำเนินชีวิตด้วยปัญญา (อ่าน อฟ. 5:15 >>ดัง​นั้น คอย​ระวัง​ไว้​ให้​ดี อย่า​ใช้​ชีวิต​เหมือน​คน​โง่ แต่​ให้​ใช้​ชีวิต​เหมือน​คน​ฉลาด )

ปัญญา แปลว่า ทักษะ 

ปัญญา ตรงข้ามกับ ความโง่เขลา 

การศึกษาที่ว่าสำคัญ–แค่เข้าไปนั่งเรียนหนังสืออย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ปัญญา คือความสามารถในการใช้ความรู้ที่เรียน บรรดาผู้ชายและผู้หญิงที่ฉลาดก็มีความสามารถที่จะรับรู้ ความหมายของสถานการณ์และเข้าใจสิ่งที่จะทำและวิธิีที่จะทำมัน ในแนวทางที่ถูกต้อง ณ เวลาที่ เหมาะสม.

“หลายหน้าของประวัติศาสตร์ก็เต็มไปด้วยชื่อของผู้คนที่ฉลาดและมีความสามารถ ผู้ซึ่งฉลาดพอที่จะร่ำรวยและมีชื่อเสียงแต่ไม่ฉลาดพอที่จะสร้างชีวิตที่ ประสบผลสําเร็จและพึงพอใจได้ก่อนการตายของเขาน้้น หนึ่งในชายที่รํ่ารวยที่สุดของโลกได้กล่าวว่า เขาน่าจะให้สมบติทั้งหมดของเขาที่จะ ทำให้หน่ึ่งในชีวิตสมรสทั้งหกครั้งของเขานั้น ประสบผลสำเร็จ ปัญญาเป็นสิ่งหนึ่งที่จะหาเงินเลี้ยงชีพ แต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสร้างชีวิต”

♥♥เมื่อมนุษย์รู้สิ่งที่ถูกต้องและทำสิ่งที่ถูกต้อง เขาผู้นั้นคือคนฉลาด  การรู้+การทำ เป็นจุดเชื่อมต่อของความดีและความจริง♥♥

สมัยโบราณพระธรรมสุภาษิตจะเน้นสอนลูกชาย เพราะลูกสาวจะถูกเก็บตัวไว้ในบ้านเพื่อเตรียมตัวแต่งงานและเป็นแม่ โดยทั่วไปแล้วเมื่ออ่านคำว่า “บุตรชายเอ๋ย” ให้ตีความถึงบุคคลทั่วๆไป ไม่กีดกันเพศหญิงและชาย

ข้อ1-7

[ความยําเกรงพระเจ้า ] คือการอยู่ใต้บังคับบัญชา ที่มีความเคารพต่อ ผู้ควบคุมทุกสิ่งและ. . . ต่อพระเจ้า องค์เดียว พระผู้สร้าง และผู้ปกครองของโลก

“เริ่มต้น ” ไม่ได้หมายถึงว่า ความยำเกรงพระเจ้าคือจุดที่คนหน่ึ่งเริ่มต้นเรียนรู้ถึงปัญญาแต่จากนั้นเขาหรือเธอก็สามารถออกไปจากมันอย่างเช่นจากจุดเริ่มต้นในการวิ่งแข่ง ตรงกันข้าม ความยําเกรงพระเจ้าเป็นหลักการที่ควบคุม ซึ่งเป็นรากฐานที่คนหน่ึ่งต้องสร้างชีวิตแห่งปัญญาขึ้นบนนั้น

เราบรรลุเป้าหมายการอ่านจากตัวอักษร บรรลุเป้าหมายการเล่นดนตรีจากการอ่านโน๊ต บรรลุเป้าหมายการเรียนเลขจากตัวเลข บรรลุเป้าหมายเข้าใจพระธรรมคำสอนในพระคัมภีร์จากความยำเกรงพระเจ้า

“ความรู้” คือความสัมพันธ์ที่ขึ้นอยู่กับการเปิดเผยและแยกออก 

มีผู้ที่ไม่เชื่อมากมายได้รับข้อมูลมากโดยปราศจากความยําเกรงพระเจ้า ความรู้แท้ก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับพระเจ้า
คำเตือนต่อการคบกับคนบาป 1:8-19

คำเตือนถึงการเปิดช่องให้ความอันตรายเข้ามาในชีวิต

ข้อเท็จจริงของสัญญาณบอกเหตุของการคบเพื่อนไม่ดีเป็นการเตือนที่เจาะจงอันแรกในสุภาษิต แนะนำว่า ความโง่เขลาไม่ใช่เรื่องราวของแต่ละคน แต่เป็นเรื่องราวของทางสังคมด้วย  เวลาเราเดินทางเป็นกลุ่มไม่ว่าจะไปกับเพื่อน กับบริษัท กับเพื่อนนักธุรกิจ เราจะถูกกำหนดระดับทางสังคมจากเพื่อนที่เราคบ

ข้อ 20-33

การยั่วยวนของบาปที่ทำลายตนเอง เหมือนปีศาจที่ลงเอยด้วยการฆ่าและปล้นทำลาย การล่อลวง คุกคาม ขัดขวาง

ปัญญา เป็นมากกว่าขุมทรัพย์สมบัติ ปัญญาอยู่บนพื้นฐานของความจริง ปัญญาทำให้เกิดอำนาจสามารถเอาชนะปีศาจได้

คนโง่เป็นคนที่ไม่รู้ความจริงเพราะว่าพวกเขา เชื่องช้า และดื้อดึง ปัญหาของพวกเขาไม่ใช่ไอคิวต่ำหรือการศึกษาต่ำ ปัญหาของพวกเขาคือการ ขาดความ ปรารถนาฝ่ายวิญญาณที่จะแสวงหาและค้นพบปัญญาของพระเจ้า คนโง่ชื่นชมกับความโง่เขลาของพวกเขาแต่ไม่รู้ว่า  พวกเขาโง่เขลาแค่ไหน ! มุมมองของคนโง่นั่นก็เกี่ยวกับวัตถุนิยมและมนุษย์นิยม อย่างสิ้นเชิง พวกเขาเกลียดความรู้และไม่มีความสนใจในสิ่งต่างๆ ที่นิรันดร์

เราต้องเลือกระหว่างอุปนิสัยที่  “ฉลาด” และ “ที่โง่เขลา”

ระหว่างพฤติกรรมที่ “ชอบธรรม” และ “ที่ชั่วร้าย”  

ข้อ 26

คนโง่ก็โง่โดยความผิดของเขาเอง ไม่ใช่โดยการกำหนดไว้(ข้อ 30-31) ปัญญาก็หัวเราะเย้ยความ หายนะของคนโง่(ข้อ 26) ไม่ใช่เพราะว่าเธอโหดร้ายแต่เพราะว่า มันไร้ความหมายอย่างมากที่จะเลือกความโง่เขลา (ข้อ 26)

***********

#SundayClass #Dekhomeschool #HomechurchOnline #โบสถ์บ้านMKM_onLine #BibleStudy

 

จัดเวลาเรียนประจำวันให้ลูก

IMG_20160728_1321023_rewind_kindlephoto-4768508

จัดเวลาเรียนประจำวันให้ลูก

โดย dekhomeschool

มีคำถามเข้ามาว่า “จะจัดเวลาให้ลูกเรียนวันละกี่ชั่วโมงดี”

ดิฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำธุรกิจส่วนตัว จึงมีเวลาอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันจัดตารางเวลาให้ลูกทั้ง 3 คน ลูกคนโตกับคนกลาง อายุห่างจากลูกคนเล็ก 9-10 ปี สามารถนั่งเรียนได้ด้วยตัวเอง ดิฉันจึงใช้เวลาสอนลูกคนเล็กได้เต็มที่ ช่วงเช้าถึงเที่ยงจะเป็นช่วงที่ลูกคนเล็กจะกระฉับกระเฉงที่สุด ช่วงบ่ายดิฉันให้เขาสนุกเต็มที่กับการวาดรูป อ่านหนังสือ นั่งต่อเลโก้ และขี่จักรยานเล่นกับเด็กๆเพื่อนบ้าน ส่วนลูกคนโต 2 คน ถ้าพวกเขาติดปัญหาในวิชาที่กำลังเรียน ดิฉันจะช่วยดูและแนะนำแหล่งค้นคว้าที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจได้มากขึ้น

โรงเรียนปกติ จะจัดเวลาเรียนวันละ 6 ชั่วโมง 9-12 น. พักกลางวัน 1 ชั่วโมง แล้วเรียนต่ออีก 3 ชั่วโมง กลับบ้าน 4 โมงเย็น (ไม่รวมระยะเวลาที่ต้องอยู่บนถนน)  สำหรับเด็กบ้านเรียน คุณพ่อ-คุณแม่ไม่จำเป็นที่จะต้องลูกจับมานั่งเรียน 5-6 ชั่วโมงต่อวัน*

*ในบางรัฐ (ประเทศสหรัฐอเมริกา) จำเป็นที่จะต้องลงบันทึกจำนวนชั่วโมงการสอนแต่ละวันให้เจ้าหน้าที่หน่วยการศึกษาได้ตรวจสอบ แต่ส่วนมากมักจะยืดหยุ่นเรื่องจำนวนชั่วโมงได้

ถ้าคุณพ่อ-คุณแม่ บ้านไหนที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน อาจจะจัดให้ลูกเรียนช่วงเช้าและก็เวลาเย็นหลังเลิกงานเพื่อที่จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ช่วงวันหยุดก็อาจจะจัดทริปเล็กๆ ชวนกันออกไปผจญภัย ไปเรียนรู้นอกสถานที่หรือทำโปรเจ็คท์สนุกๆด้วยกัน เช่น ชวนกันวาดรูปสีน้ำหรือสีไม้ วาดรูป ต้นไม้ ดอกไม้ วิวทิวทัศน์ที่สวนสาธารณะ วิวชายทะเลวิวภูเขา หรือทำงานฝีมือ ประดิษฐ์งานด้วยกัน ชวนกันปลูกดอกไม้ ต้นไม้ ให้ลูกคอยหมั่นรดน้ำและเฝ้าสังเกตุการเจริญเติบโต ฯลฯ

**วิชาหลักๆ ที่จำเป็นต้องจัดเวลาเรียนจริงๆ จังๆ คือ วิชา หลักการใช้ภาษา การอ่าน สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ (language arts, reading, social studies, math, and science)

โดยจัดเวลาเรียนวิชาหลักๆ ดังต่อไปนี้ (**เน้น วิชาหลักเท่านั้นนะคะ ไม่รวมกิจกรรมเสริมนอกเวลา)

วัยเตรียมอนุบาล และ ชั้นอนุบาล  ใช้เวลาเรียน             30-60    นาที ต่อวัน

ชั้นระดับประถม                            ใช้เวลาเรียน            60-90    นาที ต่อวัน

ชั้นมัธยมต้น                                 ใช้เวลาเรียน           1.5-3      ชั่วโมง ต่อวัน   

ชั้นมัธยมปลาย                             ใช้เวลาเรียน            2-4        ชั่วโมงต่อวัน

 

การจัดการสอนเป็นแบบตัวต่อตัว คือ พ่อหรือแม่ต่อลูกหนึงคน ถ้ามีลูกสองคน ต้องแบ่งกันสอนหรือจัดเวลาให้ลูกสลับกันเรียนถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่สะดวกสอนแค่คนเดียว  เช่น คนเล็กเรียนก่อน คนโตเรียนทีหลัง  

การจัดเวลาเรียนอาจจะขึ้นอยู่กับวัยของลุก ถ้าลูกยังเล็กมาก ลูกก็อยากจะใช้เวลากับคุณแม่มากที่สุด  ขณะที่ลูกคนโตจะสามารถใช้เวลาเรียนได้มากขึ้น  

กิจกรรมเสริมนอกเวลา

ส่วนใหญ่เด็กบ้านเรียนจะใช้เวลาที่เหลือจากการเรียนวิชาหลัก ใช้เวลาในการ อ่านหนังสือ  ศิลปะ ดนตรี งานอดิเรก เล่นเกมส์เสริมทักษะ ดูวิดิโอเพื่อการศึกษา ค้นคว้าและสำรวจในเรื่องที่สนใจ กิจกรรมนอกเวลาเหล่านี้คุณพ่อ-คุณแม่ใช้โอกาสนี้ใช้เวลาด้วยกันกับลูก เรียนรู้และใช้เวลาร่วมกัน

===============================================================

อ้างอิง: Guide to Homeshooling, Sherri Linsenbach

ลิขสิทธิ์บทความเป็นของบล็อค WordPress: TGI@homeschool , fb:dekhomeschool

https://facebook.com/Dekhomeschool

หากต้องการเผยแพร่กรุณาใส่ชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วยค่ะ

เพื่อเป็นการสนับสนุนเพจ dekhomeschool ช่วยคลิกลิงค์ด้านล่างนี้ด้วยนะคะ รอจนกว่าจะมีคำว่า Skip Ad ปรากฏขึ้นที่มุมขวาค่อยกดที่ skip Adเพื่อเข้าหน้าเพจค่ะ

http://bit.ly/29ldELC

 

การจัดกิจกรรมสอนลูกก่อนวัยเรียน

การจัดกิจกรรมสอนลูกก่อนวัยเรียน

โดย  Dekhomeschool 

tboy2

พระเจ้าทรงสร้างเด็กๆ ให้มีความสงสัยและรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เด็กๆ เรียนรู้ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเวลานอนหลับ ขณะที่นั่งอยู่ในบ้าน เดินเล่นนอกบ้าน ฉะนั้นเราจึงต้องทุ่มเทเวลาในการสอนลูกเพื่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองทุกวัน

ในข้อเฉลยพระธรรมบัญญัติ 6:7 (บทที่ 6 ข้อที่ 7) กล่าวถึงว่า

7และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านี้แก่ลูกหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนี้

Deuteronomy 6

7 Impress them on your children. Talk about them when you sit at home and when you walk along the road, when you lie down and when you get up.

************************************

มีผู้ปกครองได้ส่งข้อความอินบ๊อกซ์ถึงดิฉัน ได้ขอคำแนะนำว่าจะสอนอะไรลูกดี ลูกยังเล็กอยู่ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียน และอยากเตรียมให้ลูกเรียนโฮมสคูลในอนาคต นอกจากการอ่านนิทาน สอนลูกนับเลข และระบายสีที่ดิฉันได้แนะนำในเบื้องต้น ยังมีกิจกรรมการสอนอื่นๆ ที่น่าสนใจที่อยากจะแนะนำ แต่เนื่องด้วยการตอบทางอินบ๊อกซ์แบบส่วนตัวค่อนข้างจำกัดพื้นที่ และต้องตอบหลายๆท่าน ด้วยคำตอบที่คล้ายๆกัน ดิฉันจึงทำการจดบันทึกการเตรียมตัวสอนลูกวัยก่อนเรียนตั้งแต่อายุแรกเกิด จนถึง 5 ขวบ นำมาโพสต์ในเพจสาธารณะ เพื่อเป็นข้อเสนอแนะให้คุณพ่อ-คุณแม่ได้นำไปปรับใช้ค่ะ

มีกิจกรรมอะไรบ้าง

  • หนังสือ  แนะนำให้เตรียมหนังสือเยอะๆ ค่ะ หนังสือที่มีรูปภาพประกอบเยอะๆ เช่น หนังสือที่เกี่ยวกับศิลปะ รูปทรงเรขาคณิต รูปสัตว์ต่างๆ หนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ หนังสือนิทาน หนังสือบทกลอน คุณพ่อ-คุณแม่ อ่านหนังสือ อ่านนิทานให้ลูกฟัง อ่านชัดๆ ช้าๆ เพื่อให้ลูกจำการออกเสียงที่ชัดเจนและถูกต้อง จากประสบการณ์ของดิฉัน ลูกคนเล็กจะชอบนิทานอยู่เล่มสองเล่ม ดิฉันจำได้ว่าต้องอ่านนิทาน นายขนมปังขิง วันละไม่ต่ำกว่า 50 รอบ (เรื่องจริงค่ะ อ่านจนจำได้ทุกบรรทัด) คุณพ่อ-คุณแม่ต้องห้ามเบื่อค่ะ ไม่ว่าจะต้องอ่านวันละกี่สิบรอบ (แนะนำนิทานภาษาอังกฤษนะคะ จะได้เรียนรู้ไปพร้อมกันสำหรับคุณพ่อ-คุณแม่ที่ต้องการเรียนภาษาอังกฤษพร้อมกับลูก)  อ่านให้ลูกฟังบ่อยๆ ต่อไปลูกจะจำคำได้และต่อมาก็ให้ลูกเป็นคนอ่านให้คุณฟังบ้าง

 

  • หาหนังสือที่มีแผ่นซีดีแถมมาในหนังสือ จัดห้องเรียนให้ลูกไว้นั่งฟังและเรียนการอ่านไปพร้อมกับซีดี

 

  • เก็บกล่องกระดาษเปล่าไว้ประดิษฐ์รถไฟกับลูก ถ้ามีลังกระดาษใหญ่ๆ ก็ประดิษฐ์เป็นบ้านของเล่น อาจจะประดับประดาหรือทาสี ติดผ้าม่านตามใจชอบ

 

  • เด็กเล็กชอบขีดเขียนผนัง คุณพ่อ-คุณแม่จัดหากระดาษแผ่นยักษ์แปะฝาผนังไว้ให้ลูกได้มีพื้นที่ขีดเขียน วาดผนังได้ตามใจชอบ เตรียมดินสอสี สีเทียนใส่กล่องวางไว้บริเวณนั้นให้ลูกได้หยิบสะดวก แล้วศิลปินตัวน้อยจะได้เริ่มงานวาดภาพตามจินตนาการ

 

  • หากรรไกรสำหรับเด็ก พร้อมด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์หรือวารสารเก่าๆ ให้ลูกได้ฝึกกล้ามเนื้อมือ ให้ลูกตัดกระดาษตามใจชอบ และง่วนอยู่กับกิจกรรมนี้ได้เป็นชั่วโมง

 

  • หากล่องรูปทรงกระบอก เช่นกล่องมันฝรั่ง ให้ลูกไว้ทอยฝาพลาสติคใส่กล่อง เป็นเกมส์ที่สนุกสำหรับเด็กๆ ค่ะโดยไม่ต้องลงทุนซื้อของเล่นแพงๆ เป็นการฝึกใช้สายตา และฝึกความแม่นยำของการกะระยะทางสิ่งของใกล้-ไกล

 

  • ซื้อแม่เหล็กติดตู้เย็นที่เป็นตัวอักษรหรือรูปการ์ตูนต่างๆ ให้ลูกได้ติดเล่นบนฝาตู้เย็น ลูกจะสนุกกับการเล่นสมมติและจินตนาการเรื่องราวสนุกๆ

 

  •  เตรียมรถสามล้อหรือม้าโยกเยก ให้ลูกได้ออกกำลังกาย บางครอบครัวอาจเตรียม เครื่องเล่นสำหรับกระโดด (Trampoline) ช่วยพัฒนาสมองและการเคลื่อนไหวของร่างกาย (ปัจจุบันแทรมโพลีนจัดเป็นกีฬาระดับโอลิมปิค)

 

  • หาโหลแก้วปากกว้างๆ  สอนลูกหยอดเหรียญสตางค์ใส่โหลหรืออาจจะหาลูกแก้ว เมล็ดถั่วแห้งๆเม็ดใหญ่ๆ ไว้ให้ลูกฝึกตวงปริมาณเมล็ดใส่โหลค่ะ

 

  • ชวนลูกตัดกระดาษลูกโซ่ เป็นรูปร่างต่างๆ

 

  • สอนลูกเย็บกระดาษด้วยเชือกหรือริบบิ้น  หากระดาษแข็ง2-3 แผ่น  เจาะรูด้านข้าง แล้วให้ลูกหัดร้อยเชือก

 

  • ทำลูกบอลเล็กๆ จากผ้าเก่าๆ หาเศษผ้านุ่มๆ ใส่เมล็ดถั่วแดงหรือถั่วเขียวบรรจุลงบนผ้า มัดด้วยหนังยาง เล่นโยนรับลูกบอลถั่วกับลูก หรือ หัดให้ลูกเดินทรงตัวโดยวางลูกบอลถั่วไว้บนศีรษะ

 

  • ชวนลูกทำถาดอาหารนก โดยวางเมล็ดพืชหรืออาหารนกไว้ในถาด เอาไปวางไว้ที่ที่สามารถเห็นนกกินอาหารได้  หาสมุดรูปภาพนกให้ลูกได้ศึกษาและสนุกกับการดูนกพันธุ์ต่างๆ ที่กำลังกินอาหารอยู่

 

  • พาลูกเดินสำรวจธรรมชาติ เตรียมแว่นขยายให้ลูกไว้ส่องดูใบไม้ มด แมลงต่างๆ และอาจจะชวนกันเก็บก้อนหินสวยๆ มาใส่โหลเป็นของสะสม

 

  • ชวนลูกปลูกเมล็ดพืช แลัวให้ลูกคอยรดน้ำ เฝ้าสังเกตุการเจริญเติบโตด้วยกัน

 

  • ชวนลูกเล่นดนตรี ร้องเพลงด้วยกัน ตั้งวงดนตรีเล็กๆในครอบครัว เช่น คุณพ่อเล่นกีต้าร์หรือคีย์บอร์ด คุณลูกตีกลอง (กลองทำจากกล่องกระดาษ) คุณแม่เป็นนักร้อง  สลับตำแหน่งกันเล่น สร้างบรรยากาศอบอุ่นและสนุกสนาน

 

  • สร้างร้านขายของสมมติให้ลูก จัดชั้นวางของขายให้ลูก สมมติว่าเป็นร้านค้า มีตะกร้าช้อปปิ้ง ลูกจะได้สนุกกับการขายของและคิดเงิน สอนให้ลูกรู้จัก เหรียญสิบ เหรียญห้า เหรียญบาท และเหรียญสตางค์

 

  • กางเต๊นท์ไว้กลางห้อง หาไฟฉายให้ลูกเล่น สมมติว่าตั้งแค้มป์กัน ชวนลูกอ่านหนังสือนิทานในเต๊นท์และนอนในเต๊นท์

 

  • ชวนลูกทาสี หาโต๊ะพลาสติคหรือเก้าอี้ไม้ที่โดนน้ำได้  ให้ใส่น้ำเปล่าในถังพลาสติค หาแปรงทาสีเล็กๆ ให้ลูกได้เล่นทาสีโดยไม่ต้องใช้สีจริง

 

  • ชวนลูกเล่นบัตรคำหรือบัตรภาพ และทายคำจากการบอกใบ้ด้วยท่าทาง

 

เห็นมั้ยคะว่า การสร้างบรรยากาศกิจกรรมการเรียนให้ลูกแบบง่ายๆ ดิฉันไม่ได้เอ่ยถึงการจับลูกนั่งดูทีวีเลยสักข้อ จริงอยู่ว่าทีวีหรือการเล่นเกมส์จากมือถือ หรือแท็บเล็บ เป็นเรื่องปกติไปแล้วในยุคปัจจุบัน แต่การฝึกพัฒนาการโดยการใช้ทีวีหรือเกมส์จากคอมพิวเตอร์ อาจจะจำกัดการพัฒนาการของลูกให้คิดช้าลงและในที่สุดก็ไม่กระตือรือล้นในการเรียนเลย ผลกระทบของการดูทีวีในเด็กเล็ก คุณพ่อ-คุณแม่ลองหาอ่านจากในเน็ตนะคะ

ทีนี้ลองมาดูกิจกรรมที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ลองดูสิคะว่าคุณพ่อ-คุณแม่จะจัดการสอนการเรียนเป็นวิชาอะไรได้บ้าง

1   วิชาการเรือน – หาอุปกรณ์ทำความสะอาดที่เด็กๆ สามารถใช้ได้ เครื่องดูดฝุ่นของเล่น เตารีดของเล่น ให้ลูกได้สมมติว่ากำลังทำความสะอาดบ้าน หรือเล่นรีดผ้า

2   วิชาแต่งตัว -หาชุดต่างๆหรือ ชุดแฟนซี ให้ลูกได้ลองประดิษฐ์การแต่งตัวให้ตัวเอง

3  วิชาการอ่าน –  หาสมุดภาพนิทานมาตั้งกองไว้ พร้อมกับเบาะรองนั่งใหญ่ๆ ให้ลูกได้นั่งอ่านหนังสือสบายๆ

4  วิชาการเขียน – หากระดาษ ดินสอ สมุดบันทึก ให้ลูกได้บันทึกโดยการวาดภาพประจำวัน (แทนการเขียนไดอารี่) หรือขีดเขียนตัวอักษร เริ่มจากฝึกให้ลูกเขียนชื่อตัวเอง

5  วิชาศิลปะ -จัดวาง สีเทียน สีเมจิค สีไม้ วางไว้เพื่อที่ลูกจะได้สะดวกหยิบไปใช้ฝึกแววศิลปินวาดภาพ

6  วิชาบันทึกเสียง -ให้ลูกบันทึกเสียงตัวเองขณะที่กำลังอ่านนิทาน อาจจะทำเสียงของตัวละคร แลัวเปิดให้ลูกฟังเสียงตัวเอง

7  วิชาวิทยาศาสตร์ – ชวนลูกสะสมใบไม้รูปร่างต่างๆ ก้อนหินรูปร่างต่างๆ สำรวจสวนหน้าบ้าน สวนหลังบ้าน หรือไปสวนสาธารณะ วนอุทยาน

8  วิชาคณิตศาสตร์ – สอนลูกดูนาฬิกา นับตัวเลข บวกเลขง่ายๆ โดยใช้เมล็ดถั่ว สอนเรื่องความยาวโดยใช้ไม้บรรทัดวัดขนาดความยาวของสมุด ดินสอ โต๊ะ

การจัดการสอนลูกก่อนวัยเรียนไม่ยากเลยใช่ไหมคะ คุณพ่อ-คุณแม่ต้องมีความอดทนในการอ่านหนังสือเล่มเดิมๆที่ลูกชอบ (วันละเกือบ 50รอบ ถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ อิอิ) บางครั้งเด็กเล็กจะไม่ค่อยอยู่นิ่ง ความตั้งใจเรียนอาจจะแค่ไม่เกินครึ่งชั่วโมง คุณพ่อ-คุณแม่ลองหากิจกรรมที่ใช้เวลาไม่นานเกินไป และสังเกตุช่วงเวลาที่ลูกยังมีความกระตือรือล้นอยู่  เช่น ช่วงเช้าหลังตื่นนอนไปจนถึงเที่ยง จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการสอนลูกค่ะ

************************************

 

ลิขสิทธิ์บทความเป็นของบล็อค WordPress: TGI@homeschool , fb:dekhomeschool

หากต้องการเผยแพร่กรุณาใส่ชื่อเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วยค่ะ

 

เพื่อเป็นการสนับสนุนเพจ dekhomeschool ช่วยคลิกลิงค์ด้านล่างนี้ด้วยนะคะ รอจนกว่าจะมีคำว่า Skip Ad ปรากฏขึ้นที่มุมขวาค่อยกดที่ skip Adเพื่อเข้าหน้าเพจค่ะ

http://bit.ly/29ldELC