Posted in Home Room

My First Step of Homeschooling

Imageสวัสดีค่ะ ขออนุญาตเขียนในโน๊ตนี้นะคะ เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนสมาชิกท่านอื่นใน comment

ดิฉันเริ่มให้ลูกสาวคนโตเริ่มเข้าระบบโฮมสคูลตั้งแต่เตรียมอนุบาล ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องโฮมสคูลเท่าไหร่ แต่เกิดความสนใจขึ้นมาเพราะได้คุยกับคุณแม่คนหนึ่งที่ให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษโดยการให้เรียนจาก flash cards ตั้งแต่เด็ก จนสามารถอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้ทั้งเล่มตั้งแต่อายุ 5 ขวบ แถมแปลคำศัพท์ได้ทุกคำ ดิฉันทึ่งมาก เลยกลับมาหาข้อมูล อยากให้ลูกสาวได้เรียนภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียนบ้าง  ไปๆ มาๆ ดิฉันได้ข้อมูลเกี่ยวกับ โฮมสคูลของประเทศอเมริกา เลยใช้เวลาเกือบๆ 3 เดือน ถึงขนาดลงทุนขับรถไปที่ ก.พ. เพื่อไปปรึกษาว่า เรียนโฮมสคูลผิดกฎหมายหรือเปล่า ถ้าเรียนแล้ว หากเปลี่ยนให้ลูกเข้าเรียนในโรงเรียนปกติ โรงเรียนในไทยจะยอมรับหรือเปล่า คิดแล้วก็ขำตัวเองค่ะ เพราะว่าสนใจเป็นเรื่องเป็นราว เป็นงานเป็นการมาก งานหลักช่วงนั้นคือ ศึกษาหาข้อมูล ก.พ. บอกว่า ไม่มีปัญหา และไม่ผิดกฎหมาย จึงเริ่ม ลุย!

ในที่สุดก็เลยสมัครเรียนโฮมสคูลที่ Laurel Springs Homeschool รัฐแคลิฟอร์เนีย ดิฉันตรวจสอบว่าโรงเรียนมีตัวตนหรือไม่ แล้วก็ใบอนุญาตต่างๆ รวมทั้งถ้าจบจากที่นี่แล้วสามารถเรียนต่อต่างประเทศได้หรือไม่ ทุกอย่างผ่านฉลุย จึงตัดสินใจสมัคร ทางโรงเรียนก็ทำการให้ผู้ปกครองส่งเอกสารของลูกไป ตอนนั้นลูกสาวอายุ 4 ขวบ ดิฉันก็ตอบแบบสอบถามกับทางโรงเรียนไปว่า มีความสามารถอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษได้ไหม ใครจะเป็นผู้สอน ประมาณนี้ ช่วงนั้นดิฉันทำงานที่บ้านเลยมีเวลาว่างมาก สามารถสอนลูกได้เอง ตอนแรกกังวลมากว่า จะสอนยังไงดี เพราะภาษาอังกฤษตัวเองไม่ได้เพอร์เฟ็คมากมาย ทางโรงเรียนจัดครูที่ปรึกษาให้ลูกสาว 1 คน หากมีปัญหาให้เขียนอีเมล์โต้ตอบได้ ครูก็แนะนำว่า ให้คุณแม่ทำใจให้สบาย เพราะทางโรงเรียนจะจัดคู่มือการสอนให้ จัดตารางเรียนให้ต่อสัปดาห์  เพียงแค่ให้ทำตาม assignment ของแต่ละสัปดาห์ให้ครบ แค่นั้นเอง ทางโรงเรียนส่งคู่มือเฉลยให้ด้วย คุณแม่เลยเบาใจ แต่สิ่งที่ต้องรับผิดชอบคือ คุณแม่ต้องส่งการบ้านไปให้ทางโรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ และส่งข้อสอบที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ด้วย ดิฉันใช้เวลาขลุกขลักอยู่ 2-3 เดือน ก็เริ่มปรับตัวได้ และลูกสาวก็ไม่เครียด เริ่มหัดอ่าน-เขียนหนังสือตามที่โรงเรียนจัดให้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณแม่ต้องมีวินัยในการตรวจการบ้านและต้องซื่อสัตย์ ไม่ช่วยลูกโกงข้อสอบ

ต่อมาพอเห็นว่าได้ผล ภายในไม่เกิน 10 เดือน ลูกสาวเริ่มขึ้นเกรด K ตอนนั้นลูกคนที่ 2 อายุใกล้ๆ 5 ขวบแล้ว ก็สมัครให้คนที่ 2 ได้เรียนบ้าง ปัญหาก็เริ่มมีบ้างคือ ดิฉันต้องสอน 2 คน จึงจัดเวลาเรียนคนละช่วง ตัวเองยอมเหนื่อยเพราะอยากให้ได้ผล

ต่อมาโดยย่อ (ขี้เกียจพิมพ์ :-p  )  ดิฉันก็ทดสอบดูว่า ลูกสามารถเข้าโรงเรียนไทยตามปกติได้ไหม ดิฉันเลยขอใบเกรดจากทางโฮมสคูล แล้วพาลูกไปสมัครเรียน ประถม 1 กับ อนุบาล 1 ก็ปรากฎว่า มีโรงเรียนตอบรับและอนุญาตให้เข้าเรียนด้วย ดิฉันเลย ดร็อป ลูกจากโฮมสคูลเพื่อเข้าเรียนโรงเรียนไทย 1 ปี ด้วยเหตุผลอีกอย่างคือ ที่บ้านยังไม่ค่อยยอมรับระบบโฮมสคูล แล้วดิฉันเองก็อยากให้ลูกๆ ได้เรียนเขียนและอ่านภาษาไทยด้วย ขณะเดียวกันต้องการพิสูจน์ว่า ลูกๆ ดิฉันเรียนโฮมสคูลได้เหมือนเรียนโรงเรียนปกติทั่วไป

หลังจากนั้น ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉัน ไม่สามารถให้ลูกๆ เรียนที่โรงเรียนปกติได้…ทราบไหมคะว่า ความรุนแรงระหว่างเด็กอนุบาลและชั้นประถม ที่เกิดขึ้นในข่าว นสพ. จนถึงแก่ชีวิตของเด็กอนุบาลนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่โชคดีที่ ลูกๆ 2 คนของดิฉัน ยังไม่สาหัสถึงขนาดต้องลงหน้า นสพ. ดิฉันได้คุยกับ ผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งพูดจาไร้ความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง เธอให้ความเห็นว่า ปล่อยให้นักเรียนตีกันบ้าง จะได้เก่ง  ดิฉันอึ้งเลยค่ะ ไม่คิดว่า ปริญญาเอกที่ผู้อำนวยการได้มาจากประเทศฟิลิปปินส์ จะทำให้เธอมีทัศนคติเช่นนั้น คือปล่อยให้เด็กผู้ชายเกือบ 10 คนรุมกระทืบเด็กผู้หญิงคนเดียว และปล่อยให้รุ่นพี่วิ่งเข้ามาชกท้องเด็กผู้ชายชั้นอนุบาลได้ โดยไม่มีการลงโทษหรือเรียกผู้ปกครองเข้าพบแต่อย่างใด ดิฉันจึงโต้กลับไปว่า “ดิฉันส่งลูกมาเรียนหนังสือ ไม่ได้ส่งลูกให้มาฝึกตีกันค่ะ”

แล้วดิฉันก็พาลูกกลับมาเข้าระบบโฮมสคูลเหมือนเดิม โดยให้เข้าเรียนโฮมคูลเดิม

ต่อมาเกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ ดิฉันสู้ค่าเรียนไม่ไหว จึงหาโฮมสคูลที่อื่นให้ลูกเรียน ซึ่งราคาถูกกว่า แต่ไม่ได้เป็นโฮมสคูลไฮโซ เหมือนที่เดิม คราวนี้เป็นโฮมสคูลของคริสเตียนค่ะ ดิฉันดูหลักสูตรแล้วค่อนข้างชอบ พอดีว่าครอบครัวดิฉันเป็นคริสเตียน จึงไม่มีปัญหากับการเรียนพระคัมภีร์เพิ่มอีก 1 วิชา ก็สมัครให้ลูกเข้าเรียนที่ Christian Academy School โรงเรียนมีตัวตนจริงอยู่รัฐ อิลลินอยส์ แต่คราวนี้ลูกๆ ต้องสอบ Replacement Test ด้วย เพื่อจัดระดับหนังสือตามความรู้เดิม  และมีข้อกำหนดของครอบครัวต่างชาติที่สามารถเข้าเรียนได้ดังนี้

English Fluency Requirement
CLASS materials are in the English language. Also, we require that the individual initiating any communications with CLASS concerning a particular student be the parent or legal guardian. Therefore, parents not sufficiently fluent in English to communicate with CLASS or to instruct, supervise, and evaluate their student, must appoint someone knowledgeable in English to provide the academic and administrative oversight required by CLASS policies. Such a person must be a responsible adult authorized by the parent or legal guardian and registered with CLASS.

คือ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองไม่สามารถสอนภาษาอังกฤษให้ลูกได้ ต้องแต่งตั้งให้ผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง (เป็นบุคคลภายนอก) ให้เป็นผู้สอนหนังสือเด็กได้

หลังจากสอบ Replacement Test แล้ว ทางโรงเรียนจึงส่งหนังสือทั้งหมดตลอดทั้งปีมาให้ ซึ่งดิฉันอาศัยประสบการณ์จากโฮมสคูลเดิม นั่งจัดตารางเรียนให้ลูกๆ ได้โดยไม่ปัญหา ลูกๆ ใช้เวลา 10 เดือนต่อการเรียน 1 ชั้น การจบชั้นเรียนแต่ละปี นอกจากจะต้องทำรายงานส่งและข้อสอบปิดภาคเรียนแล้ว ยังจะต้องสอบ CAT เพื่อวัดระดับการเรียนสำหรับเด็กในรัฐแคลิฟอร์เนียเื่พื่อพิจารณาการขึ้นขั้นเรียนใหม่และจัดหนังสือให้ใหม่ในปีถัดไป

ปัจจุบันดิฉันมีลูกคนที่ 3 แล้ว และดิฉันเริ่มการใช้ชีวิตแบบคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่คนเล็กอายุเกือบ 2 ขวบ

*ตอนนี้ลูกคนเล็กอายุ 5 ขวบ  แต่อ่านหนังสือเรียนเป็นภาษาอังกฤษได้ทั้งเล่มตั้งแต่อายุ 3 ครึ่ง โดยไม่มีปัญหา เพิ่งจะเริ่มเรียนเลขบวกและลบเมื่อเดือนที่แล้ว และดิฉันพบว่า ถ้าลูกยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียนระดับ วิทยาลัย คือถ้ายังไม่ถึงเกรด 12 ดิฉันไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนเรียนแบบได้ใบเกรดทุกสิ้นปี (transcript)  ดิฉันจึงออกจากระบบเรียนแบบได้ใบเกรด เพื่อประหยัดเงิน เริ่มจัดหนังสือให้ลูกคนโต 2 คน อายุ 15 ปี กับ 13 ปี โดยใช้หลักสูตรแบบให้เด็กๆ เรียนด้วยตนเอง เป็นระบบโฮมสคูลที่ดีที่สุดในอเมริกา ณ ปัจจุบัน (Robinson Curriculum เป็นการสอนให้ลูกสอนตัวเอง Teach them to teach themselves) ตามลิงค์นี้เลยค่ะ http://www.robinsoncurriculum.com/view/rc/s31p993.htm

*อัพเดท ปี 2016: ลูกคนโต เข้ามหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย

ลูกคนกลาง กำลังเตรียมสอบเทียบ GED

ลูกคนเล็ก กำลังเรียน เกรด 4 (เริ่มฝึกอ่านและเขียนภาษาไทยของป. 1  แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ห่วงเลยค่ะ ตอนนี้อ่าน-เขียน-พูดภาษาอังกฤษไฟแล่บ)

สรุปคือ No TV, No internet, ให้เขาวิเคราะห์ดูว่า การบ้านเขาผิดตรงไหน ทำไมถึงผิด และสร้างอุปนิสัยการเรียนให้เป็นนิสัย

เพราะเด็กๆ จะได้ขวนขวายและเข้าใจการเรียนได้ด้วยตนเองมากที่สุด เน้นกระบวนการคิดแบบ Creative Thinking และ Critical Thinking โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องมาจับมือเขียน ดิฉันใช้ตำราเรียนคณิตศาสตร์ของ Life of Fred ทั้งหมด ครอบคลุม คณิตศาสตร์+Reading+Bio+Physics โดยเซ็ทแรกที่สั่งมา เป็นของ Before High School Mathematics มี  5 เล่ม ปูพื้นฐานเลขใหม่หมดเลย ตั้งแต่ มัธยมปีที่ 1 หากจบ 5 เล่มนี้แล้ว จะมีความรู้เทียบเท่าระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 3  และสั่ง Grammar, Writing มาให้ลูกเรียนเพิ่ม ส่วนพระคัมภีร์ก็ยังให้เรียน แต่ดิฉันหาบทเรียนและแบบฝึกหัดทางอินเตอร์เน็ตเอาเอง ไม่ต้องซื้อ ส่วนวิทยาศาสตร์หรือวิชาอื่นๆ ที่ลูกสนใจก็ให้เลือกว่าอยากเรียนอะไร ตอนนี้ลูกสาวสนใจเรียน วาดรูป ลูกชายสนใจเรียน โปรแกรมเมอร์ ดิฉันจึงสมัครเรียนโปรแกรมเมอรฺฟรีทางอินเตอร์เน็ตให้

ดิฉันยอมรับว่า ประสบการณ์ที่ให้ลูกได้เรียนโฮมสคูลนี้ ทำให้ลูกๆ มีระเบียบวินัยและรับผิดชอบต่อตนเองมากขึ้น มีทัศนคติที่ดี ไม่เครียด และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ลูกๆ ดิฉันไม่เคยมีปัญหาในการเข้าสังคมเลย ดิฉันขอยกความดีให้กับพระเจ้าที่อบรมลูกๆ ผ่านพระคัมภีร์ และทุกคนเป็นเด็กดี ไม่ทำให้ดิฉันได้เหนื่อยใจเลย

ขอเป็นกำลังใจให้ครอบครัวโฮมสคูลทุกๆ ครอบครัวนะคะ ดิฉันเข้าใจว่ายังมีคนอื่นๆ ที่ไม่เข้าใจระบบโฮมสคูลอีกมาก แถมยังมี อคติด้านลบอีกด้วย ดิฉันก็ผ่านตรงนั้นมาแล้ว พยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ  สู้ๆ ค่ะ หากมีอะไรอยากถามเพิ่ม ถ้าคำแนะนำหรือประสบการณ์ของดิฉันพอจะเป็นประโยชน์บ้าง ดิฉันก็ยินดีที่จะแบ่งปันเสมอค่ะ ^ ^

ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ